V4Rs is built to win
ส่วนประกอบและชิ้นส่วนที่ซับซ้อนมากมาย ถูกนำมารังสรรค์ให้เป็นจักรยานคันนี้
จากกระบวนการทำงานของทีมสร้างระดับ Top Class ที่ทำงานร่วมกับนักปั่นระดับ Pro ที่ต้องการชัยชนะไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ทำให้จักรยานคันนี้ถูกสร้างมาให้ชนะโดยไม่มีข้อบกพร่องเลย
ในการสร้างจักรยานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพการแข่งขัน เป็นเรื่องที่หินมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเริ่มพัฒนาจาก V3Rs ซึ่งเป็นจักรยานที่ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงอยู่แล้ว การันตีจากการเป็นแชมป์ Tour de France 2 สมัย และแชมป์สนาม Classic อีกมากมาย ทำให้การพัฒนาต่อมีแค่ทางเดียว คือ การทำงานร่วมกับนักปั่นระดับ Pro เพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุด ในการสร้างจักรยานขึ้นมา ทำให้ V4Rs ถูกสร้างมาเพื่อ “ชัยชนะ” อย่างแท้จริง
V4Rs ถูกดีไซน์ จากความต้องการของนักปั่นระดับ Pro จากทีม UAE Team คือ
-
-
- ต้อง Aerodynamics ขึ้น
- น้ำหนักที่ลดลงจากเดิม
- ความสติฟเพิ่มขึ้นจากด้านหลังของจักรยาน
- ขนาดที่พอดีกับนักปั่นทุกประเภท
- ความทนทานและการดูแลรักษาที่ดีขึ้น
ทุกกระบวนการในการสร้าง มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ ทำให้ทุกๆชิ้นส่วนที่นำมาประกอบ และการทดสอบในทุกสภาพถนน จนถึงการแข่งขันระดับ Pro ออกมาได้ประสิทธิภาพที่สูงที่สุด และสิ่งที่ให้ Colnago V4Rs สร้างความแตกต่างจริงๆ คือ ส่วนประกอบและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงชิ้นส่วนเล็กๆของ V4Rs ที่มีการจัดเรียงและตรวจสอบ ให้มีความสอดประสาน ทำงานและส่งเสริมกันได้อย่างดีเยี่ยม
เรามาลองเจาะลึกกันดีกว่า ว่า V4Rs ดีขึ้นในแบบไหน
Aerodynamics ขึ้น
Colnago V4Rs นั้นเป็นจักรยานที่ integrated ซ้อนสายทั้งคัน เพื่อลดแรงต้านของลมให้ได้มากที่สุด โดยส่วนประกอบทุกชิ้นบน V4Rs ได้ถูกทดสอบในอุโมงลมอย่างละเอียดทุกชิ้น รวมไปถึงขากระติกของ colnago ที่อยู่บนเฟรม V4Rs ด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ทาง Colnago ถึงมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้จากการทดสอบในอุโมงลมนั้น เพียงพอที่จะทำให้ V4Rs เป็นรถที่พร้อมลงสนามแข่งแล้ว
กระบวนการออกแบบ และพัฒนานี้เริ่มต้นจากส่วนหน้าของจักรยาน ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อแรงต้านลมโดยตรง ตามสูตรคำนวณ
FD = CDA(pV2/2)
-
-
- FD คือแรงลาก
- CD คือ ค่าสัมประสิทธิ์การลาก
- A คือ พื้นที่ผิวสัมผัส
- p คือ ความหนาแน่นของของไหล
- V คือ ความเร็วไหลสัมพัทธ์กับวัตถุ
Integration
การปรับพื้นที่ส่วนหน้าของเฟรมให้เหมาะสมนั้นเกี่ยวข้องกับ รูปทรงเรขาคณิตท่อคอของจักรยาน รูปทรงท่อคอได้รับการออกแบบใหม่พร้อมกับ cockpit Integrated แบบใหม่ และตะเกียบแบบใหม่ที่มีน้ำหนักเบากว่าเดิม (ตะเกียบออกแบบมาให้ใช้ยางได้กว่าสุดถึง 32 มม.) ถึงแม้ว่าท่อคอจะมีแบริ่งใหญ่กว่าของ V3Rs แต่ก็สามารถซ่อนสายเข้าไปในซางได้โดยไม่ต้องใช้ รูปแบบซาง D-Shaped เลย ทำให้ส่วนด้านหน้าของจักรยานมีความแข็งแรงและลดแรงต้านลมได้ดีขึ้น
Cockpit CC.01 แบบใหม่สำหรับ V4Rs
ถึงแม้ว่า V4Rs จะสามารถใช้ Cockpit กับยี้ห้ออื่นได้ แต่จากการทดสอบแล้ว V4Rs กับ Cockpit CC.01 แบบใหม่ ให้ผลการทดสอบที่ดีกว่า โดยสามารถลดแรงต้างลมลงได้ 16% เมื่อเที่ยบกับ Cockpit แบบเก่า V3Rs แถมด้วยการซ่อนสายที่ดูสะอาดตากว่ามาก
Results and Data จากการทดสอบในอุโมงลม ที่ความเร็วลม 50 กม./ชั่วโมง
จากล้อ WHEEL A (เป็นวงล้ออ้างอิงพื้นฐาน) ซึ่งมีค่าคงที่ในการเปรียบเทียบ ระหว่าง V3R กับ V4R ผ่านการวิจัยของวิศวกร Colnago โดยผ่านการประเมินของวงล้อต่างๆ มากมาย และในรูป คือ ผลของการทดสอบ (โดยใส่ขากระติกเพิ่มมา 2 อัน) โดยการจับคู่กับ WHEEL B
จากการทดสอบ เทียบกันระหว่าง V3Rs กับ V4Rs โดยการ setting ชุดล้อและส่วนประกอบอื่นๆ ให้เหมือนกัน พบว่า สามารถประหยัดวัตต์ไปได้ถึง 27.7%
น้ำหนักที่เบาลง
เมื่อเทียบ V4Rs size 485 กับ V3Rs 50s (ทั้ง 2 size มี Geometry และขนาดใกล้เคียงกัน) V4Rs นั้นเบากว่า 47 กรัม หรือคิดเป็น 2.74%
ความสติฟเพิ่มขึ้นจากด้านหลังของจักรยาน
ในขนะปั่นจักรยาน แรงส่วนใหญ่จะไปลงที่ ส่วนของช่วงด้านหลังของจักรยาน รวมไปถึงกระโหลก จากการทดสอบหลายๆส่วน วิศวกรของ Colnago ได้พัฒนาตัวเฟรมของ V4Rs ทำการทดสอบ ทั้งแรงดัด และแรงบิด ผลที่ได้ คือ ความสติฟช่วงด้านหลังของเฟรม ที่มีสมรรถนะและการทรงตัวในทุกสภาวะการแข่งขันขั้นสูงสุด ซึ่งเมื่อเทียบกับ V3Rs แล้ว V4Rs มีสติฟช่วงด้านหลังของเฟรม มากกว่าถึง 10%
และจากการทดสอบในสนามแข่งขันจริง โดยใช้จักรยานทั้งคันปั่น โดยนักแข่งระดับโปรจาก UAE Team Emirates เทียบกับ V3Rs นั้น V4Rs ในท่าปั่น sprint (ยืนโยก) มีความสติฟทั้งคันสูงกว่า 4% และท่านั่งปั่น สติฟทั้งคันสูงกว่า 5 %
รวมไปถึงได้มีการนำ V4Rs ไปทดสอบในสนามจริงบนถนนหิน ผมจากจากทดสอบ ให้ความสมดุลดีเยี่ยมจากแรงของนักแข่งและแรงสะเทือนจากถนนหิน